ระ-ทะ-ทู-อี่ พ่อครัวตัวจี๊ด หัวใจคับโลก เป็นชื่อภาษาไทยของภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Ratatouille ผลิตโดย พิกซาร์ และจัดจำหน่ายโดย วอล์ท ดิสนีย์ แอนิเมชัน กำกับภาพยนตร์โดย แบรด เบิร์ด (Brad Bird) ออกฉายในประเทศไทยในวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 และออกฉายในสหรัฐอเมริกาวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2550 ถือเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันลำดับที่ 8 ของพิกซาร์ โดยตั้งชื่อตามอาหารของฝรั่งเศส ราทาทุย (ออกเสียง แรททาทูอี ในภาษาอังกฤษ) ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลออสการ์, รางวัลลูกโลกทองคำ, รางวัลบาฟต้า, และรางวัลแกรมมี่
เรมี่ (Remy) เป็นหนูซึ่งอาศัยอยู่ในฝรั่งเศส อยู่กับอาณาจักรหนูโดยมีพี่ชายคือ เอมิล (Emile) และมีพ่อคือ จังโก้ (Django) ซึ่งเป็นหัวหน้าอาณาจักรหนู เรมี่มีประสาทรับรสที่ดีเยี่ยม พ่อของเขาจึงให้เรมี่เป็นคนตรวจสอบยาเบื่อ แต่เรมี่ค่อนข้างแตกต่างจากหนูตัวอื่นๆ ที่เขามักจะเลือกกินแต่ของดีๆ และเดินสองขาเพราะไม่อยากให้มือ (เท้าหน้า) สกปรก เรมี่จึงไม่ค่อยลงรอยกับพ่อเขามากนัก จนวันหนึ่งเรมี่และเอมิลได้เข้าไปภายในบ้านของหญิงแก่เพื่อหาของกิน และเขาก็พบหนังสือของ ออกุส กุสโตว์ (Auguste Gusteau) เชฟมือทองของฝรั่งเศส โดยเขามีร้านอาหารชื่อกุสโตว์ (Gusteau's) ซึ่งเป็นร้านอาหารห้าดาวในปารีส โดยเรมี่ชื่นชมเชฟกุสโตว์มาก โดยเฉพาะคติของเขาที่ว่า "ไม่ว่าใครก็ทำอาหารได้" (Anyone can cook!) แต่เรมี่ก็ได้ดูโทรทัศน์ก็พบว่า ร้านกุสโตว์ถูกลดดาวเหลือเพียงสี่ดาวหลังจากถูกวิจารณ์โดยนักวิจารณ์อาหาร แอนทอน อีโก้ (Anton Ego) หลังจากนั้นไม่นานเชฟกุสโตว์ก็เสียชีวิตลงในเวลาต่อมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ด้วยเหตุนี้ร้านกุสโตว์จึงถูกลดดาวอีกเป็นสามดาว ขณะที่เรมี่ดูโทรทัศน์อยู่และทราบว่าเชฟกุสโตว์ตายแล้ว หญิงแก่ก็ตื่นขึ้นพอดี และพยายามใช้ปืนไล่ยิงเรมี่และเอมิล จนหลังคาด้านบนแตกออกและหนูจำนวนมากก็หล่นลงมา พ่อของเรมี่จึงรีบให้หนูทุกตัวไปขึ้นแพตรงแม่น้ำ แต่เรมี่เอาหนังสือของกุสโตว์ไปด้วย ทำให้ตามหนูที่เหลือไม่ทันและพลัดพรากจากครอบครัว
หลังจากที่เรมี่เริ่มหมดหวัง ภาพในจินตนาการของเรมี่ซึ่งเป็นเชฟกุสโตว์ก็ออกมาและบอกเรมี่ว่า "อาหารจะมาหาผู้รักการทำอาหารเสมอ" เรมี่จึงวิ่งไปเรื่อยๆ และพบว่าเขาอยู่ในกรุงปารีสและพบร้านกุสโตว์ โดยปัจจุบันมีหัวหน้าเชฟคือ สกินเนอร์ (Skinner) ซึ่งเคยเป็นอดีต ซูเชฟ (sous-chef/รองหัวหน้าเชฟ) ของร้านกุสโตว์ ในขณะนั้นมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อ อัลเฟรโด้ ลินกวินี่ (Alfredo Linguini) มาขอทำงานในร้านกุสโตว์โดยมาพร้อมกับจดหมายจากแม่ของเขาซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว สกินเนอร์จึงให้ลิงกวินี่เป็นเด็กเทขยะ และเขาก็ทำหม้อซุปหล่น เขาจึงปรุงซุปแบบหยิบอะไรได้ก็ใส่ลงไป เรมี่บังเอิญหล่นจากหลังคาร้านกุสโตว์ลงไปยังอ่างล้างจาน หลังจากพยายามหนีออกมา เขาได้กลิ่นซุปแล้วรู้สึกไม่ดีเขาจึงพยายามแก้รสของซุป ลินกวินี่เห็นเรมี่พอดีจึงใช้ที่ครอบหม้อจับไว้ สกินเนอร์จึงจับลินกวินี่ไว้ข้อหาที่เขาทำอาหารในครัว ในขณะที่อยู่ในความสับสน ซุปได้ถูกเสิร์ฟไปยังแขกลูกค้าแล้ว และลูกค้าคนนั้นคือนักวิจารณ์อาหาร โซลีน เลอแคลร์ โดยเธอชมว่าซุปของร้านกุสโตว์มีรสชาติดีเยี่ยม
เซฟผู้หญิงคนเดียวในร้านกุสโตว์ คอลเลตต์ ทาทูว์ (Colette Tatou) บอกสกินเนอร์ไม่ให้ไล่ลิงกวินี่ออก และยกคติของเชฟกุสโตว์ว่า "ไม่ว่าใครก็ทำอาหารได้" สกินเนอร์จึงไม่ไล่ลินกวินี่ออกแต่จะให้เขาทำซุปใหม่อีกครั้ง ขณะที่สกินเนอร์กำลังคุยกับลินกวินี่อยู่นั้นเขาก็เห็นเรมี่กำลังหนีอยู่พอดี ลินกวินี่จึงจับเรมี่ไว้ในขวด และสกินเนอร์ก็สั่งให้เอาเรมี่ไปไกลๆ แล้วฆ่ามัน แต่เมื่อถึงริมฝั่งแม่น้ำลินกวินี่ไม่สามารถทำใจฆ่าเรมี่ได้ เขาจึงเริ่มคุยกับเรมี่ บอกปัญหาต่างๆ และเขาพบว่าเรมี่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด โดยการพยักหน้าและภาษากาย
เรมี่ค้นพบว่าเขาสามารถควบคุมลิงกวินี่ได้โดยการดึงผมของเขา
วันรุ่งขึ้นร้านกุสโตว์ถูกจับตามองอีกครั้งหลังคำวิจารณ์ของโซลีน เลอแคลร์เผยแผร่ โดยลินกวินี่คิดหาว่าจะไว้เรมี่ที่ไหนดี และสุดท้ายหลังจากใช้ความพยายามหลายครั้งเขาจึงเอาเรมี่ไว้ในหมวกพ่อครัว และตอนนั้นลิงกวินี่เกือบจะชนกับบริกรของร้าน เรมี่ก็ดึงผมของลินกวินี่โดยไม่ได้ตั้งใจ ลินกวินี่ก็หลบบริกรได้ทัน ลินกวินี่จึงถามเรมี่ว่าเขาทำได้อย่างไร เรมี่ก็ลองดึงผมของลินกวินี่ แล้วเขาก็ขยับตามการดึงผมของเรมี่ เรมี่จึงใช้วิธีนี้ให้เขาสามารถควบคุมลินกวินี่ให้ทำอาหารได้
ลินกวินี่สามารถทำซุปอีกครั้งผ่านการควบคุมอย่างลับๆ ของเรมี่ แต่สกินเนอร์ก็ยังสงสัยว่าทำไมคนไม่เคยทำอาหารอย่างลินกวินี่จึงทำซุปได้อร่อยนัก ในคืนนั้นมีลูกค้าประจำโดยพวกเขาต้องการอาหารใหม่ที่ไม่มีอยู่ในเมนูบ้าง เรมี่และลินกวินี่ก็ทำอาหาร สวีตเบรด-อลากุสโตว์ ซึ่งกุสโตว์ยังเคยพูดเองว่าอาหารสูตรนี้แย่สุดๆ แต่ลูกค้าชอบมากและมีออเดอร์เข้ามาหลายที่ ระหว่างที่ลินกวินี่กำลังฉลองความสำเร็จเล็กๆ ในร้าน ในตอนนั้นสกินเนอร์เขาก็เห็นเงาของหนูในหมวกของลิงกวินี่ เขาจึงให้ลินกวินี่ดื่มไวน์ ชาโต ลาตูร์ (Château Latour) จนเมาเพื่ออาจจะได้ความลับบางอย่างแต่ก็ไม่สำเร็จ เขาจึงปล่อยให้ลินกวินี่ล้างจานและทำความสะอาดร้านจนถึงเช้า
วันรุ่งขึ้นขณะที่ลินกวินี่กำลังหลับอยู่และยังไม่สร่างเมา คอลเลตต์ได้มาถึงพอดี เรมี่จึงเข้าไปในหมวกของลินกวินี่และใส่แว่นดำให้กับเขา และควบคุมลิงกวินี่ทั้งๆ ที่หลับ จนสุดท้ายลินกวินี่เกือบที่จะเปิดเผยความจริง เรมี่จึงดึงผมของลินกวินี่จนลินกวินี่ล้มบนคอลเลตต์และจูบกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งสองเริ่มเดตกัน ทำให้เรมี่รู้สึกว่าถูกละทิ้ง ในขณะนั้นสกินเนอร์ได้อ่านจดหมายจากแม่ของลินกวินี่และพบว่าลินกวินี่เป็นลูกชายของกุสโตว์ จากพินัยกรรมของเชฟกุสโตว์ หากไม่มีทายาทของกุสโตว์ปรากฏตัวภายใน 2 ปีหลังจากกุสโตว์เสียชีวิต ตำแหน่งหัวหน้าเชฟจะตกเป็นของผู้ช่วยเชฟ ซึ่งนั่นคือสกินเนอร์นั่นเอง ทำให้แผนการของสกินเนอร์ที่จะขายชื่อร้านกุสโตว์ในธุรกิจอาหารแช่แข็งอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม และสกินเนอร์ก็พยายามหาวิธีเขี่ยลินกวินี่ออกจากร้านกุสโตว์ให้ได้
คืนหนึ่ง เรมี่ได้พบกับครอบครัว จังโก้พ่อของเขาจัดงานฉลองอย่างใหญ่โต แต่เรมี่บอกว่าเขาจะไม่อยู่กับครอบครัวแต่จะกลับไปอยู่กับมนุษย์ (ลินกวินี่) แล้วจะกลับมาเยี่ยมครอบครัวบ่อยๆ จังโก้จึงพาเรมี่ไปยังร้านขายยาเบื่อและกับดักหนูซึ่งมีแต่หนูที่ตายอยู่ในตู้กระจก และบอกเรมี่ว่านี่คือผลจากการที่หนูทำตัวสบายใกล้มนุษย์เกินไป เรมี่ไม่เชื่อและขอเดินในเส้นทางของเขาเอง
ระหว่างที่กำลังหาอาหาร เรมี่ได้พบพินัยกรรมของกุสโตว์ในลิ้นชักของสกินเนอร์ หลังจากหนีการตามล่าของสกินเนอร์ เรมี่ได้นำพินัยกรรมไปให้ลิงกวินี่ ลินกวินี่ถือว่าเป็นเจ้าของร้านกุสโตว์อย่างสมบูรณ์แล้ว ทำให้แผนของสกินเนอร์ต้องล่มทั้งหมด สกินเนอร์ถูกไล่ออก ทำให้ร้านกุสโตว์มีหน้าตาขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ยินดีในตัวลินกวินี่ แอนทอน อีโก้ นักวิจารณ์อาหารได้มายังร้านกุสโตว์อีกครั้ง และบอกแก่ลินกวินี่ว่าพรุ่งนี้เขาจะมาอีกครั้งด้วยความหวังอย่างสูง แต่ในวันนั้นลินกวินี่และเรมี่แตกคอกัน แต่บังเอิญสกินเนอร์เห็นเรมี่พอดีและรู้ความจริงว่าเรมี่เป็นคนทำอาหาร วันต่อมาสกินเนอร์จึงวางกับดักเรมี่ และจะให้เรมี่ทำอาหารแช่แข็งยี่ห้อเชฟสกินเนอร์แลกกับการไม่ฆ่าเรมี่ ทางด้านร้านกุสโตว์ อีโก้ได้มาถึงและบอกแก่บริกรว่า “บอกเชฟลินกวินี่ของคุณว่าให้เอาอะไรก็ได้ที่เขากล้ามาเสิร์ฟผม ให้เขาซัดผมด้วยสูตรเด็ดของเขาเลย” สกินเนอร์ซึ่งแอบปลอมตัวมาก็สั่งอาหารตามที่อีโก้สั่ง ลินกวินี่ซึ่งไม่รู้จะทำอาหารอะไรเพราะตอนนี้เรมี่ไม่อยู่แล้ว เขาจึงกระวนกระวายและวิ่งเข้าห้องทำงานไป
เรมี่ได้รับความช่วยเหลือจากพ่อของเขาและเอมิล เรมี่รีบกลับไปที่ร้านกุสโตว์ทันทีเพราะเขารู้ว่าลินกวินี่ต้องทำอาหารไม่ได้แน่ แต่เมื่อเขาไปถึงพวกเชฟก็พยายามจะจับเรมี่ ลินกวินี่เห็นดังนั้นจึงรีบมาปกป้องเรมี่ไว้ และอธิบายว่าเรมี่เป็นคนทำอาหาร ทำให้คนอื่นๆ รับไม่ได้จึงเดินออกจากครัวไปหมด เหลือแต่ลินกวินี่กับเรมี่ ลินกวินี่จึงเดินคอตกเข้าห้องไป พ่อของเรมี่ก็ออกมาและบอกว่าเขามองเพื่อนของเรมี่ผิดไปและมองเรมี่ผิด เขาจึงเรียกพรรคพวกหนูของเขามาและบอกแก่เรมี่ว่า ให้เรมี่สั่งมาได้เลยว่าให้ทำอาหารยังไง แต่บังเอิญเจ้าหน้าที่กรมอนามัยที่สกินเนอร์ได้โทรนัดไว้มาพอดี พ่อของเรมี่จึงให้พรรคพวกส่วนหนึ่งจับไว้ อีกส่วนหนึ่งช่วยเรมี่ทำอาหาร
แรททาทูอีตามที่เห็นในภาพยนตร์
ด้านคอเลตต์ ขณะที่เธอกับขี่จักรยานยนต์ไปตามถนน เธอได้เห็นหนังสือของกุสโตว์ "ไม่ว่าใครก็ทำอาหารได้" เธอจึงยอมที่จะกลับไปที่ร้านกุสโตว์ ขณะนั้นลินกวินี่เป็นบริกรชั่วคราวโดยใช้โรวเลอร์สเก็ตเพื่อความรวดเร็ว เรมี่เสนอคอลเลตต์ให้ทำ แรททาทูอี (Ratatouille) แต่คอลเลตต์แย้งว่ามันเป็นอาหารคนจน แต่เรมี่มั่นใจที่จะทำแรททาทูอี เมื่อแรททาทูอีถูกเสิร์ฟไปยังโต๊ะของอีโก้และสกินเนอร์ เมื่ออีโก้กินเข้าไปคำแรก เขาก็ระรึกถึงวัยเด็กสมัยที่แม่ของเขาเคยทำแรททาทูอีให้กิน สกินเนอร์ซึ่งเมื่อกินแล้วก็บุกเข้าไปถึงในครัวแล้วถามว่าใครเป็นคนทำแรททาทูอี แต่เมื่อเขาเห็นหนูกำลังทำอาหารเขาก็ตกตะลึงและถูกพวกหนูจับขังเหมือนเจ้าหน้าที่อนามัย
อีโก้ตอนแรกคิดว่าลินกวินี่เป็นเชฟ แต่ลิงกวินี่บอกอีโก้ว่าเขาเป็นแค่เด็กเสิร์ฟ อีโก้ต้องการจะพบเชฟ คอลเลตต์จึงบอกอีโก้ว่าเขาต้องรอจนกว่าแขกคนอื่นๆ กลับไปหมดก่อน หลังร้านปิดลิงกวินี่ก็เผยว่าเรมี่เป็นคนทำอาหาร และได้พาไปดูถึงในครัว อีโก้จึงได้เปลี่ยนความคิดเดิมๆ ของเขาแล้วเขียนคำวิจารณ์ว่า ตอนนี้ผมพอที่จะเข้าใจความหมายของคำที่ว่า "ไม่ว่าใครก็ทำอาหารได้" และกล่าวว่าเชฟที่ร้านกุสโตว์เป็นเชฟที่ยอดเยี่ยมที่สุดของฝรั่งเศส
อย่างไรก็ตามร้านกุสโตว์ถูกปิดโดยกรมอนามัย อีโก้เสียเครดิตไปจำนวนมาก ถึงกระนั้น ลินกวินี่, คอลเลตต์, และเรมี่จึงไปเปิดร้านอาหารเล็กๆ แห่งใหม่ที่ชื่อว่า La Ratatouille โดยมีอีโก้เป็นลูกค้าประจำ ระเบียงด้านบนร้านเป็นร้านอาหารเล็กๆ สำหรับหนู ภาพยนตร์จบลงด้วยภาพคนต่อแถวยาวจากร้าน โดยมีสัญลักษณ์ร้านเป็นหนูใส่หมวกพ่อครัวและถือทัพพี และขึ้นคำว่า "Fin" ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่า "จบ"